พระราชรัตนโมลี (นคร เขมปาลี) (29 พฤษภาคม พ.ศ. 2465-29 พฤษภาคม พ.ศ. 2551) เป็น
อดีตผู้ช่วย
เจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร,อดีต
อธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ระหว่าง พ.ศ. 2529-2540,เป็นมีผู้ส่วนสำคัญต่อการสนับสนุนให้เกิดการได้มาซึ่ง การตรา
พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. 2540
[1] เคยต้องคดีข้อห้าอันเป็น
คอมมิวนิสต์ ในสมัย
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ (16 มิถุนายน พ.ศ. 2451 – 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506)
นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 11 และต้องถูกจองจำถูกคุมขังในสันติปาลาราม เป็นเวลากว่า 4 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2503-2507 และถูกปล่อยตัวโดยไม่มีการส่งฟ้องศาลแต่อย่างใด
[2]ในระหว่างถูกจองจำได้แปลหนังสือเรื่อง “Glimpses of World History”
[3] ในชื่อภาษาไทยว่า โฉมหน้าประวัติศาสตร์สากล
[4]และ “Letters from a Father to His Daughter”
[5] ในชื่อภาษาไทยว่า จดหมายจากพ่อถึงลูกสาว
[6] ของ “ยวาหรลาล เนห์รู” อดีตนายกรัฐมนตรีอินเดีย ภายใต้การแนะนำจาก “อาจารย์
กรุณา กุศลาสัย” (10 พฤษภาคม พ.ศ. 2463 - 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552) อดีตสามเณรใจสิงห์ ในโครงการ "พระภิกษุสามเณรใจสิงห์–Lion-hearted Bhikkhus and Samaneras"
[7] ของ
พระโลกนาถ (ซัลวาโตเล ซิโอฟฟี) พระภิกษุชาวอิตาลี ที่นำพระภิกษุจากไทย พม่า ทีเดินธุดงค์ด้วยเท้าจากประเทศไทยไปศึกษาอบรมที่ประเทศอินเดีย เป็นนักเขียนบทความและสารคดี เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน
ภาษาฮินดี ภาษาสันสกฤต และ
ภารตวิทยา กรุณาได้รับ
รางวัลศรีบูรพาปี พ.ศ. 2538, ที่ถูกคุมขังอยู่ด้วยกันในขณะนั้น พร้อมทั้งได้เขียนบันทึกชีวิตไว้ในหนังสือ ชีวิตลิขิตของกรรม
[8] ที่มีความตอนหนึ่งที่เกี่ยวกับพระสงฆ์กับการเมืองที่ว่า “…นี่คือระบอบประชาธิปไตยแบบไทยที่มีอุณหภูมิไม่แน่นอน ครึ่งใบบ้าง ค่อนใบบ้าง เต็มใบบ้าง ตามวุฒิภาวะของผู้นำรัฐบาล แม้รัฐธรรมนูญก็สามารถเปลี่ยนใหม่ได้ตามพลังและอำนาจนิยม…”
[9]